• รายการ1

ทำไมความจุมาตรฐานของขวดไวน์จึงเป็น 750 มล.?

01 ความจุปอดกำหนดขนาดของขวดไวน์

ผลิตภัณฑ์แก้วในสมัยนั้นล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์แก้วที่เป่าด้วยมือโดยช่างฝีมือ โดยความจุปอดปกติของคนงานอยู่ที่ประมาณ 650~850 มล. ดังนั้นอุตสาหกรรมการผลิตขวดแก้วจึงใช้ 750 มล. เป็นมาตรฐานการผลิต

02 วิวัฒนาการของขวดไวน์

ในศตวรรษที่ 17 กฎหมายของประเทศต่างๆ ในยุโรปกำหนดว่าโรงกลั่นไวน์หรือพ่อค้าไวน์จะต้องขายไวน์ให้กับผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจะมีฉากหนึ่งที่พ่อค้าไวน์ตักไวน์ใส่ขวดเปล่า ปิดจุกไวน์แล้วขายให้กับผู้บริโภค หรือผู้บริโภคซื้อไวน์ด้วยขวดเปล่าของตัวเอง

ในช่วงแรก ความจุที่ประเทศต่างๆ และพื้นที่การผลิตเลือกนั้นไม่สม่ำเสมอ แต่ในภายหลัง ด้วยอิทธิพลในระดับนานาชาติของบอร์โดซ์และการเรียนรู้เทคนิคการผลิตไวน์ของบอร์โดซ์ ทำให้ประเทศต่างๆ หันมาใช้ขวดไวน์ขนาด 750 มล. ที่นิยมใช้ในเมืองบอร์โดซ์กันอย่างเป็นธรรมชาติ

03 เพื่อความสะดวกในการจำหน่ายให้กับชาวอังกฤษ

สหราชอาณาจักรเป็นตลาดหลักของไวน์บอร์โดซ์ในเวลานั้น ไวน์ถูกขนส่งทางน้ำในถังไวน์ และความจุของเรือถูกคำนวณตามจำนวนถังไวน์ ในเวลานั้น ความจุของถังไวน์คือ 900 ลิตร และถูกขนส่งไปยังท่าเรือของอังกฤษเพื่อโหลด ขวดที่เพียงพอสำหรับบรรจุขวดไวน์ 1,200 ขวดถูกแบ่งออกเป็น 100 กล่อง

แต่ชาวอังกฤษใช้หน่วยวัดเป็นแกลลอนแทนที่จะเป็นลิตร ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการขายไวน์ ชาวฝรั่งเศสจึงกำหนดความจุของถังไม้โอ๊คไว้ที่ 225 ลิตร ซึ่งเท่ากับประมาณ 50 แกลลอน ถังไม้โอ๊คสามารถบรรจุไวน์ได้ 50 ลัง โดยแต่ละลังบรรจุไวน์ได้ 6 ขวด ซึ่งเท่ากับ 750 มิลลิลิตรพอดีต่อขวด

คุณจะพบว่าถึงแม้จะมีขวดไวน์หลายประเภททั่วโลก แต่ขวดไวน์ทุกแบบทุกขนาดล้วนมีปริมาตร 750 มล. ความจุอื่นๆ มักจะเป็นขวดมาตรฐานขนาด 750 มล. คูณด้วย 1.5 ลิตร (2 ขวด) 3 ลิตร (4 ขวด) เป็นต้น

04 750มล. เหมาะสำหรับดื่ม 2 คน

ไวน์ 750 มล. เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ 2 คนในมื้อค่ำ โดยเฉลี่ยแล้วดื่มได้คนละ 2-3 แก้ว ไม่มากไปและไม่น้อยไป ไวน์มีประวัติการพัฒนามาอย่างยาวนานและเป็นเครื่องดื่มประจำวันที่เหล่าขุนนางชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยโรมโบราณ ในเวลานั้น เทคโนโลยีการกลั่นยังไม่สูงเท่าปัจจุบัน และปริมาณแอลกอฮอล์ยังไม่สูงเท่าปัจจุบัน กล่าวกันว่าขุนนางในสมัยนั้นดื่มเพียง 750 มล. ต่อวันเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้มึนเมาเล็กน้อยได้

ข่าว31


เวลาโพสต์ : 18 ส.ค. 2565